ฟังก์ชัน Offset และวิธีการใช้งาน
Offset เป็น ฟังก์ชัน การค้นหาและอ้างอิง ของ Excel
ทำหน้าที่ ส่งกลับค่าที่เป็นผลจากการอ้างอิงไปยังช่วง ซึ่งการอ้างอิงไปยังช่วงดังกล่าวถูกระบุโดยจำนวนของแถวและจำนวนของคอลัมน์ซึ่งถูกนับจากเซลล์ หรือ ช่วงของเซลล์ที่คุณระบุ (ฐานสำหรับการออฟเซต) การอ้างอิงที่ส่งกลับมาอาจเป็นเซลล์เดียวหรือช่วงของเซลล์ คุณสามารถระบุจำนวนแถวและจำนวนคอลัมน์ที่ส่งกลับมาได้
รูปแบบของ ฟังก์ชัน คือ Offset(reference,rows,cols,heigh,width)
reference คือ จุดอ้างอิงที่เราต้องการใช้เป็นฐานของ offset นั้น reference จะต้องอ้างอิงกับเซลล์หรือช่วงของเซลล์หลายๆเซลล์ติดกัน มิฉะนั้น offset จะส่งกลับค่าความผิดพลาด #Value!
rows เป็นจำนวนของแถวที่คุณต้องการให้นับขึ้นหรือลงจากเซลล์ที่เป็นฐานของออฟเซตซึ่งอยู่มุมบนซ้าย ถ้ากำหนดให้อาร์กิวเมนต์ของ rows เท่ากับ 5 จะหมายถึงเซลล์ด้านบนซ้ายในการอ้างอิง 5 แถวที่อยู่ด้านล่างของการอ้างอิง ค่า rows อาจเป็นค่าบวก (ซึ่งหมายถึงใต้การอ้างอิงเริ่มต้น) หรือค่าลบ (ซึ่งหมายถึงเหนือการอ้างอิงเริ่มต้น) ก็ได้
cols เป็นจำนวนของคอลัมน์ทางซ้ายหรือขวาที่คุณต้องการให้นับจากเซลล์ที่เป็นฐานของการออฟเซต ซึ่งอยู่บนซ้ายของผลลัพธ์ ถ้ากำหนดให้อาร์กิวเมนต์ของ cols เท่ากับ 5 จะหมายถึงเซลล์ด้านบนซ้ายในการอ้างอิง คือคอลัมน์ 5 คอลัมน์ที่อยู่ด้านขวาของการอ้างอิง cols อาจเป็นค่าบวก (ซึ่งหมายถึงใต้การอ้างอิงเริ่มต้น) หรือค่าลบ (ซึ่งหมายถึงเหนือการอ้างอิงเริ่มต้น)
height เป็นความสูง (จำนวนแถว) ที่คุณต้องการให้เป็นผลลัพธ์ height จะต้องเป็นค่าบวก
width เป็นความกว้าง (จำนวนของคอลัมน์) ที่คุณต้องการให้เป็นผลลัพธ์ width จะต้องเป็นค่าบวก
ตัวอย่างการใช้งาน ฟังก์ชัน offset
1. เลือกเซลล์ A2:A5 แล้วพิมพ์ Rows แล้วกด Enter
2. พิมพ์ Cols แล้วกด Enter
3. พิมพ์ Height แล้วกด Enter
4. พิมพ์ Width แล้วกด Enter
5. เลือกเซลล์ D2:G6 แล้วพิมพ์ตัวเลขและกด Enter ไปจนครบด้งนี้
1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12,13,14,15,16,17,18,19,20
6. เลือกเซลล์ B2:B5 แล้วพิมพ์ 1 แล้วกด Enter
7. พิมพ์ 2 แล้วกด Enter
8. พิมพ์ 3 แล้วกด Enter
9. พิมพ์ 2 แล้วกด Enter
10. คลิกเซลล์ B7 แล้วพิมพ์ =offset(d2,b2,b3) แล้วกด Enter จะแสดงค่า 12
11. คลิกเซลล์ B8 แล้วพิมพ์ =sum(offset(d2,b2,b3,b4,b5)) แล้วกด Enter จะแสดงค่า 93
Offset เป็น ฟังก์ชัน การค้นหาและอ้างอิง ของ Excel
ทำหน้าที่ ส่งกลับค่าที่เป็นผลจากการอ้างอิงไปยังช่วง ซึ่งการอ้างอิงไปยังช่วงดังกล่าวถูกระบุโดยจำนวนของแถวและจำนวนของคอลัมน์ซึ่งถูกนับจากเซลล์ หรือ ช่วงของเซลล์ที่คุณระบุ (ฐานสำหรับการออฟเซต) การอ้างอิงที่ส่งกลับมาอาจเป็นเซลล์เดียวหรือช่วงของเซลล์ คุณสามารถระบุจำนวนแถวและจำนวนคอลัมน์ที่ส่งกลับมาได้
รูปแบบของ ฟังก์ชัน คือ Offset(reference,rows,cols,heigh,width)
reference คือ จุดอ้างอิงที่เราต้องการใช้เป็นฐานของ offset นั้น reference จะต้องอ้างอิงกับเซลล์หรือช่วงของเซลล์หลายๆเซลล์ติดกัน มิฉะนั้น offset จะส่งกลับค่าความผิดพลาด #Value!
rows เป็นจำนวนของแถวที่คุณต้องการให้นับขึ้นหรือลงจากเซลล์ที่เป็นฐานของออฟเซตซึ่งอยู่มุมบนซ้าย ถ้ากำหนดให้อาร์กิวเมนต์ของ rows เท่ากับ 5 จะหมายถึงเซลล์ด้านบนซ้ายในการอ้างอิง 5 แถวที่อยู่ด้านล่างของการอ้างอิง ค่า rows อาจเป็นค่าบวก (ซึ่งหมายถึงใต้การอ้างอิงเริ่มต้น) หรือค่าลบ (ซึ่งหมายถึงเหนือการอ้างอิงเริ่มต้น) ก็ได้
cols เป็นจำนวนของคอลัมน์ทางซ้ายหรือขวาที่คุณต้องการให้นับจากเซลล์ที่เป็นฐานของการออฟเซต ซึ่งอยู่บนซ้ายของผลลัพธ์ ถ้ากำหนดให้อาร์กิวเมนต์ของ cols เท่ากับ 5 จะหมายถึงเซลล์ด้านบนซ้ายในการอ้างอิง คือคอลัมน์ 5 คอลัมน์ที่อยู่ด้านขวาของการอ้างอิง cols อาจเป็นค่าบวก (ซึ่งหมายถึงใต้การอ้างอิงเริ่มต้น) หรือค่าลบ (ซึ่งหมายถึงเหนือการอ้างอิงเริ่มต้น)
height เป็นความสูง (จำนวนแถว) ที่คุณต้องการให้เป็นผลลัพธ์ height จะต้องเป็นค่าบวก
width เป็นความกว้าง (จำนวนของคอลัมน์) ที่คุณต้องการให้เป็นผลลัพธ์ width จะต้องเป็นค่าบวก
ตัวอย่างการใช้งาน ฟังก์ชัน offset
1. เลือกเซลล์ A2:A5 แล้วพิมพ์ Rows แล้วกด Enter
2. พิมพ์ Cols แล้วกด Enter
3. พิมพ์ Height แล้วกด Enter
4. พิมพ์ Width แล้วกด Enter
5. เลือกเซลล์ D2:G6 แล้วพิมพ์ตัวเลขและกด Enter ไปจนครบด้งนี้
1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12,13,14,15,16,17,18,19,20
6. เลือกเซลล์ B2:B5 แล้วพิมพ์ 1 แล้วกด Enter
7. พิมพ์ 2 แล้วกด Enter
8. พิมพ์ 3 แล้วกด Enter
9. พิมพ์ 2 แล้วกด Enter
10. คลิกเซลล์ B7 แล้วพิมพ์ =offset(d2,b2,b3) แล้วกด Enter จะแสดงค่า 12
11. คลิกเซลล์ B8 แล้วพิมพ์ =sum(offset(d2,b2,b3,b4,b5)) แล้วกด Enter จะแสดงค่า 93