ฟังก์ชัน Or และวิธีการใช้งาน
ฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน ตรรกศาสตร์ของ Excel
มีหน้าที่ ส่งค่า TRUE กลับ ถ้าอาร์กิวเมนต์ใดอาร์กิวเมนต์หนึ่งเป็น TRUE และส่งค่า FALSE กลับ ถ้าอาร์กิวเมนต์ทั้งหมดเป็น FALSE
รูปแบบสูตรของ ฟังก์ชัน คือ Or(logical1,logical2,…)
logical1, logical2,…เป็นเงื่อนไขที่ 1 ถึง 30 ซึ่งเราต้องการทดสอบ สามารถเป็นได้ทั้ง TRUE หรือ FALSe
ฟังก์ชัน ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ And, Not
ตัวอย่างการใช้งาน ฟังก์ชัน Or ให้เราทำดังนี้
1. เลือกเซลล์ A2:A5 แล้วพิมพ์ True แล้วกด Enter
2. พิมพ์ True แล้วกด Enter
3. พิมพ์ False แล้วกด Enter
4. พิมพ์ False
5. เลือกเซลล์ B2:B5 แล้วพิมพ์ True แล้วกด Enter
6. พิมพ์ False แล้วกด Enter
7. พิมพ์ True แล้วกด Enter
8. พิมพ์ False
9. คลิกเซลล์ C2 แล้วพิมพ์ =or(a2,b2) แล้วกด enter จะแสดงค่า TRUE
10. คลิกเซลล์ C3 แล้วพิมพ์ =or(a3,b3) แล้วกด Enter จะแสดงค่า TRUE
11. คลิกเซลล์ C4 แล้วพิมพ์ =or(a4,b4) แล้วกด Enter จะแสดงค่า TRUE
12. คลิกเซลล์ C5 แล้วพิมพ์ =or(a5,b5) แล้วกด Enter จะแสดงค่า FALSE
13. คลิกเซลล์ A7 แล้วพิมพ์ 100 แล้วคลิกเซลล์ B7 แล้วพิมพ์ 200 จากนั้นคลิกเซลล์ C7 แล้วพิมพ์ =or(a7<=100,b7<=100) แล้วกด Enter จะแสดงค่า TRUE
14. หากพิมพ์ 250 ที่เซลล์ A7 แล้วกด Enter ผลที่เซลล์ C7 จะแสดงค่า False
ฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน ตรรกศาสตร์ของ Excel
มีหน้าที่ ส่งค่า TRUE กลับ ถ้าอาร์กิวเมนต์ใดอาร์กิวเมนต์หนึ่งเป็น TRUE และส่งค่า FALSE กลับ ถ้าอาร์กิวเมนต์ทั้งหมดเป็น FALSE
รูปแบบสูตรของ ฟังก์ชัน คือ Or(logical1,logical2,…)
logical1, logical2,…เป็นเงื่อนไขที่ 1 ถึง 30 ซึ่งเราต้องการทดสอบ สามารถเป็นได้ทั้ง TRUE หรือ FALSe
ฟังก์ชัน ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ And, Not
ตัวอย่างการใช้งาน ฟังก์ชัน Or ให้เราทำดังนี้
1. เลือกเซลล์ A2:A5 แล้วพิมพ์ True แล้วกด Enter
2. พิมพ์ True แล้วกด Enter
3. พิมพ์ False แล้วกด Enter
4. พิมพ์ False
5. เลือกเซลล์ B2:B5 แล้วพิมพ์ True แล้วกด Enter
6. พิมพ์ False แล้วกด Enter
7. พิมพ์ True แล้วกด Enter
8. พิมพ์ False
9. คลิกเซลล์ C2 แล้วพิมพ์ =or(a2,b2) แล้วกด enter จะแสดงค่า TRUE
10. คลิกเซลล์ C3 แล้วพิมพ์ =or(a3,b3) แล้วกด Enter จะแสดงค่า TRUE
11. คลิกเซลล์ C4 แล้วพิมพ์ =or(a4,b4) แล้วกด Enter จะแสดงค่า TRUE
12. คลิกเซลล์ C5 แล้วพิมพ์ =or(a5,b5) แล้วกด Enter จะแสดงค่า FALSE
13. คลิกเซลล์ A7 แล้วพิมพ์ 100 แล้วคลิกเซลล์ B7 แล้วพิมพ์ 200 จากนั้นคลิกเซลล์ C7 แล้วพิมพ์ =or(a7<=100,b7<=100) แล้วกด Enter จะแสดงค่า TRUE
14. หากพิมพ์ 250 ที่เซลล์ A7 แล้วกด Enter ผลที่เซลล์ C7 จะแสดงค่า False