00:38:00
สูตร Excel 3 สูตร กับการแทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่ที่กำหนด
โดยปกติแล้วมี สูตร Excel ที่ใช้สำหรับการแทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่อยู่แล้วนั่นคือ ฟังก์ชั่น Replace แต่ว่า หากว่าโจทย์ที่เราได้รับมันมีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเข้ามา มันก็ไม่สามารถจะใช้ ฟังก์ชั่น Replace เพียงอย่างเดียว ....การทำงานใดๆมักจะมีเงื่อนไขอื่นเข้ามาร่วมเสมอ เพื่อให้ได้งานตรงตามที่เราต้องการมากที่สุดและครอบคลุมเงื่อนไขที่ต้องการ มากที่สุด เราจำต้องทราบว่าโจทย์เรามีเงื่อนไขอะไรบ้าง...
ตัว การใช้สูตร Excel ในบทความนี้ จะเป็นการกล่าวถึง ฟังก์ชั่น 3 ตัวด้วยกัน นั่นคือ ฟังก์ชั่น Find, Len, และฟังก์ชั่นตัวสุดท้ายคือฟังก์ชั่น Replace
โดย ที่ Find เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับค้นหา อักขระหรือข้อความที่ต้องการจาก ข้อความอื่น โดยหากฟังก์ชั่น Find หาพบจะคืนค่า ตำแหน่งที่พบมาให้ เช่น
มีข้อความว่า Excel is The best program From Microsoft อยู่บนเซลล์ A1
สมมติ ว่าเราต้องการค้นหาคำว่า best จากเซลล์ A1 เราจะต้องพิมพ์เข้าไปในสูตร Find ว่า =Find(“best”,a1) แล้วกด enter...ฟังก์ชั่น Find จะคืนค่ากลับมาเป็น 14 ซึ่งหมายความว่า พบตำแหน่งที่อยู่ของคำว่า best ที่ตำแหน่งที่ 14 (โดยยึดจากตัว b เป็นตำแหน่งแรกของคำว่า best) อย่างนี้เป็นต้น
ฟัง ก์ชั่น Len เป็นฟังก์ชั่นที่ทำหน้าที่คืนค่าความยาวของข้อความหรืออักขระกลับมาให้เรา เช่น ที่เซลล์ A1 มีข้อความว่า Excel Spreadsheet อยู่
สมมติว่าเราพิมพ์ที่ b1 ว่า =len(a1) แล้วกด Enter คำตอบที่ b1 จะเป็น 18 นั่นคือความยาวของคำว่า Excel Spreadsheet รวมทั้งช่องว่างระหว่างคำด้วย ยาวเท่ากับ 18 ตัวอักษร
ฟังก์ชั่น Replace คือ ฟังก์ชั่นที่ใช้แทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่
เช่น ที่เซลล์ A1 เราพิมพ์ข้อความว่า Excel Tips
ที่เซลล์ b1 เราพิมพ์ว่า Microsoft
ที่เซลล์ c1 เราพิมพ์ว่า =REPLACE(A1,1,5,B1) แล้วกด Enter ที่เซลล์ c1 จะได้ผลลัพธ์คือ Microsoft Tips แทน Excel Tips
ตัวอย่าง ข้างล่างนี้เป็นการใช้ฟังก์ชั่น 3 ตัวที่กล่าวมานี้ในการแทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่ แบบมีเงื่อนไข ลองดูจากภาพแล้วศึกษารายละเอียดจากโค้ดดูด้วยตนเองน่ะครับว่าเข้าใจหรือไม่
ให้ เราออกแบบโปรแกรมดังภาพ แล้วเขียนสูตรที่เซลล์ D2 ว่า =REPLACE(A2,FIND(B2,A2),LEN(B2),C2) แล้วกด Enter ดูผลลัพธ์น่ะครับไม่มีอะไรยาก...เพราะฟังก์ชั่นทั้ง 3 ตัวได้อธิบายไปหมดแล้วว่าทำงานอย่างไร
เราสามารถทำงานนี้โดยใช้ฟังก์ชั่น Substitute ได้เช่นกัน ลองไปหัดใช้ดูน่ะครับ...
โดยปกติแล้วมี สูตร Excel ที่ใช้สำหรับการแทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่อยู่แล้วนั่นคือ ฟังก์ชั่น Replace แต่ว่า หากว่าโจทย์ที่เราได้รับมันมีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเข้ามา มันก็ไม่สามารถจะใช้ ฟังก์ชั่น Replace เพียงอย่างเดียว ....การทำงานใดๆมักจะมีเงื่อนไขอื่นเข้ามาร่วมเสมอ เพื่อให้ได้งานตรงตามที่เราต้องการมากที่สุดและครอบคลุมเงื่อนไขที่ต้องการ มากที่สุด เราจำต้องทราบว่าโจทย์เรามีเงื่อนไขอะไรบ้าง...
ตัว การใช้สูตร Excel ในบทความนี้ จะเป็นการกล่าวถึง ฟังก์ชั่น 3 ตัวด้วยกัน นั่นคือ ฟังก์ชั่น Find, Len, และฟังก์ชั่นตัวสุดท้ายคือฟังก์ชั่น Replace
โดย ที่ Find เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับค้นหา อักขระหรือข้อความที่ต้องการจาก ข้อความอื่น โดยหากฟังก์ชั่น Find หาพบจะคืนค่า ตำแหน่งที่พบมาให้ เช่น
มีข้อความว่า Excel is The best program From Microsoft อยู่บนเซลล์ A1
สมมติ ว่าเราต้องการค้นหาคำว่า best จากเซลล์ A1 เราจะต้องพิมพ์เข้าไปในสูตร Find ว่า =Find(“best”,a1) แล้วกด enter...ฟังก์ชั่น Find จะคืนค่ากลับมาเป็น 14 ซึ่งหมายความว่า พบตำแหน่งที่อยู่ของคำว่า best ที่ตำแหน่งที่ 14 (โดยยึดจากตัว b เป็นตำแหน่งแรกของคำว่า best) อย่างนี้เป็นต้น
ฟัง ก์ชั่น Len เป็นฟังก์ชั่นที่ทำหน้าที่คืนค่าความยาวของข้อความหรืออักขระกลับมาให้เรา เช่น ที่เซลล์ A1 มีข้อความว่า Excel Spreadsheet อยู่
สมมติว่าเราพิมพ์ที่ b1 ว่า =len(a1) แล้วกด Enter คำตอบที่ b1 จะเป็น 18 นั่นคือความยาวของคำว่า Excel Spreadsheet รวมทั้งช่องว่างระหว่างคำด้วย ยาวเท่ากับ 18 ตัวอักษร
ฟังก์ชั่น Replace คือ ฟังก์ชั่นที่ใช้แทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่
เช่น ที่เซลล์ A1 เราพิมพ์ข้อความว่า Excel Tips
ที่เซลล์ b1 เราพิมพ์ว่า Microsoft
ที่เซลล์ c1 เราพิมพ์ว่า =REPLACE(A1,1,5,B1) แล้วกด Enter ที่เซลล์ c1 จะได้ผลลัพธ์คือ Microsoft Tips แทน Excel Tips
ตัวอย่าง ข้างล่างนี้เป็นการใช้ฟังก์ชั่น 3 ตัวที่กล่าวมานี้ในการแทนที่ข้อความเก่าด้วยข้อความใหม่ แบบมีเงื่อนไข ลองดูจากภาพแล้วศึกษารายละเอียดจากโค้ดดูด้วยตนเองน่ะครับว่าเข้าใจหรือไม่
ให้ เราออกแบบโปรแกรมดังภาพ แล้วเขียนสูตรที่เซลล์ D2 ว่า =REPLACE(A2,FIND(B2,A2),LEN(B2),C2) แล้วกด Enter ดูผลลัพธ์น่ะครับไม่มีอะไรยาก...เพราะฟังก์ชั่นทั้ง 3 ตัวได้อธิบายไปหมดแล้วว่าทำงานอย่างไร
เราสามารถทำงานนี้โดยใช้ฟังก์ชั่น Substitute ได้เช่นกัน ลองไปหัดใช้ดูน่ะครับ...
