วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Microsoft Excel : การใช้งานฟังก์ชั่น GEOMEAN(ประเภทสถิติ)

หน้าที่ของฟังก์ชั่น GEOMEAN คือ ทำหน้าที่ส่งกลับค่าเฉลี่ยเรขาคณิตของอาร์เรย์ หรือช่วงของข้อมูลที่เป็นบวก ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ GEOMEAN ... thumbnail 1 summary
หน้าที่ของฟังก์ชั่น GEOMEAN คือ ทำหน้าที่ส่งกลับค่าเฉลี่ยเรขาคณิตของอาร์เรย์ หรือช่วงของข้อมูลที่เป็นบวก ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ GEOMEAN คำนวณอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ให้ดอกเบี้ยทบต้นที่มีอัตราความแปรปรวน

รูปแบบสูตรของฟังก์ชั่น GEOMEAN คือ GEOMEAN(number1, number2,…)

Number1, number2, … คือ อาร์กิวเมนต์ 1 ถึง 30 อาร์กิวเมนต์ที่ต้องการคำนวณหาค่าลี่ย โดยสามารถใช้อาร์เรย์เดียว หรือการอ้างอิงไปยังอาร์เรย์แทนการใช้อาร์กิวเมนต์ที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาคก็ได้

ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชั่น GEOMEAN ได้แก่ AVERAGE, HARMEAN, MEDIAN, MODE, TRIMMEAN

ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชั่น GEOMEAN

ระบายเซลล์ B2:B8 แล้วพิมพ์ตัวเลขและกด Enter จนครบดังนี้ 4,5,8,7,11,4,3

คลิกเซลล์ B10 แล้วพิมพ์ =product(b2:b8)^(1/count(b2:b8))แล้กด Enter จะแสดงค่า 5.476987

คลิกเซลล์ B12 แล้วพิมพ์ =geomean(b2:b8) แล้วกด Enter จะแสดงค่า 5.476987

ฟังก์ชั่น EDATE ส่งกลับค่าเป็นเลขลำดับที่แทนที่วันที่

ซึ่งบอกจำนวนเดือนก่อนหรือหลังของวันที่ที่ระบุ (Start_date) คุณจะสามารถใช้ EDATE ในการคำนวณวันครบกำหนดหรือวันนัดหมายใดๆ ที่ตรงกับวันเดียวกัน... thumbnail 1 summary
ซึ่งบอกจำนวนเดือนก่อนหรือหลังของวันที่ที่ระบุ (Start_date) คุณจะสามารถใช้ EDATE ในการคำนวณวันครบกำหนดหรือวันนัดหมายใดๆ ที่ตรงกับวันเดียวกันของเดือนของวันที่ที่กำหนดให้เริ่มนับ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่ Microsoft Excel ใช้เลขลำดับ (serial nuber) ในการคำนวณวันที่


รูปแบบสูตรของฟังก์ชั่น EDATE คือ EDATE(start_date,months)

Start_date คือ วันที่ที่แสดงถึงวันที่เริ่มต้น ซึ่งควรจะใส่ค่าวันที่ โดยใช้ฟังก์ชั่น DATE หรือใช้ผลลัพธ์ของสูตรหรือฟังก์ชั่นอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ใช้ฟังก์ชั่น DATE(2008,5,23) เพื่อแทนวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 เนื่องจากจะเกิดปัญหาขึ้นได้หากใส่วันที่ในรูปแบบข้อความ

Moths คือจำนวนของเดือนก่อนหรือหลังวันเริ่ม เป็นค่าบวกสำหรับผลลัพธ์เป็นวันที่ในอนาคต และค่าลบสำหรับผลลัพธ์เป็นวันที่ในอดีต

ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้อง คือ DATE,EOMONTH,NETWORKDAYS,WORKDAY

ลองมาดูตัวอย่างกันว่า ฟังก์ชั่น EDATE ใช้งานอย่างไร ให้คุณทำดังนี้

• คลิกที่เซลล์ A2 แล้วพิมพ์ 12-Mar-01 แล้วกด Enter

• คลิกที่เซลล์ B2 แล้วพิมพ์ =edate(a2,1) และกด Enter จะโชว์ 36993

• คลิกที่เซลล์ B2 แล้วคลิกเมนู Format และเลือด Cells

• คลิกแท็บ Number แล้วคลิกเลือก Date แล้วเลือกรูปแบบ 04-mar-97 และคลิก OK

• ที่เซลล์ B2 จะโชว์ 12-Apr-01

• คลิกที่เซลล์ A3 แล้วพิมพ์ 31-Mar-01 แล้วกด Enter

• คลิกที่เซลล์ B3 แล้วพิมพ์ =edate(a2,1) แล้วกด Enter

• คลิกที่เซลล์ B3 แล้วคลิกเมนู Format และเลือก Cells

• คลิกแท็บ Number แล้วคลิกเลือก Date แล้วเลือกรูปแบบ 04-Mar-97 และคลิก OK

• ที่เซลล์ B2 จะโชว์ 30-Apr-01

• คลิกที่เซลล์ A4 แล้วพิมพ์ 31-Mar-01 แล้วกด Enter

• คลิกเซลล์ B4 แล้วพิมพ์ =edate(a2,-1) แล้วกด Enter

• คลิกที่เซลล์ B4 แล้วคลิกเมนู Format แล้วเลือก Cells

• คลิกแท็บ Number แล้วคลิกเลือกที่ Date แล้วเลือกรูปแบบ 04-Mar-97 แล้วคลิก Ok

• ที่เซลล์ B24 จะโชว์ 28-Feb-01

ฟังก์ชัน DGET แยกระเบียนหนึ่งระเบียนที่ตรงกับเงื่อนไขที่คุณระบุจากฐานข้อมูล

ฟังก์ชั่น DGET เป็นฟังก์ชั่นประเภทฐานข้อมูล มีรูปแบบสูตรคือ DGET(database,field,criteria) Database คือ ช่วงของเซลลืที่ประกอบขึ้นเป็นรายกา... thumbnail 1 summary
ฟังก์ชั่น DGET เป็นฟังก์ชั่นประเภทฐานข้อมูล มีรูปแบบสูตรคือ DGET(database,field,criteria)

Database คือ ช่วงของเซลลืที่ประกอบขึ้นเป็นรายการหรือฐานข้อมูลโดยรายการของข้อมูลที่สัมพันธ์กันที่อยู่ในแถวของข้อมูลที่สัมพันธ์กันเรียกว่า ระเบียน และคอลัมน์ของข้อมูลเรียกว่า เขตข้อมูล ซึ่งแถวแรกของรายการประกอบด้วยป้ายชื่อของแต่ละคอลัมน์

Field ทำหน้าที่บ่งชี้คอลัมน์ที่ถูกใช้ในฟังก์ชั่น โดยอาจจะกำหนดเป็นข้อความโดยใช้ป้ายชื่อคอลัมน์ที่คร่อมด้วยเครื่องหมายอัญประกาศคู่ เช่น “อายุ” หรือ “ผลกำไร” หรือกำหนดเป็นตัวเลขที่แสดงถึงตำแหน่งของคอลัมน์ภายในรายการเช่น 1 หมายถึงคอลัมน์แรกส่วน 2 หมายถึงคอลัมน์ที่สอง และต่อๆไป

Criteria คือ ช่วงของเซลล์ที่มีเงื่อนไขตามที่คุณระบุ โดยสามารถใช้ช่วงใดก็ได้เป็นอาร์กิวเมนต์ของเกณฑ์ ตราบใดที่ช่วงนั้นมีป้ายชื่อคอลัมน์อย่างน้อยหนึ่งคอลัมน์ และมีเซลล์อย่างน้อยหนึ่งเซลล์อยู่ใต้ป้ายชื่อคอลัมน์ที่ใช้ในการระบุเงื่อนไขให้กับคอลัมน์

ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชั่น DGET บน Microsoft Excel

• ระบายเซลล์ A1:C7 จากนั้นพิมพ์ข้อมูลเข้าไปและกด Enter ไปจนครบดังนี้

• พิมพ์ Name แล้วกด enter พิมพ์ Somboon แล้วกด Enter พิมพ์ Amorn แล้วกด Enter

• พิมพ์ Boripat แล้วกด Enter พิมพ์ Pipat แล้วกด Enter พิมพ์ Pirat กด Enter พิมพ์ Chonticha แล้วกด Enter

• พิมพ์ Province แล้วกด Enter พิมพ์ Bangkok แล้วกด Enter พิมพ์ Bangkok แล้วกด Enter

• พิมพ์ Bangkok แล้วกด Enter พิมพ์ Rayong กด Enter พิมพ์ Chonburi แล้วกด Enter พิมพ์ Rayong แล้วกด Enter

• พิมพ์ Amount แล้วกด enter พิมพ์ 12000 แล้วกด Enter พิมพ์ 25000 แล้วกด Enter

• พิมพ์ 14000 แล้วกด enter พิมพ์ 3000 กด Enter พิมพ์ 15000 แล้วกด Enter พิมพ์ 30000 แล้วกด Enter

• ก๊อบปี้ข้อมูลในเซลล์ A1:C1 มาไว้ที่เซลล์ A9

• ที่เซลล์ A10 พิมพ์ Amorn

• ที่เซลล์ C12 ให้พิมพ์สูตรดังนี้ =dget(A1:C7,C1,A9:C10)

• ทดลองเปลี่ยนชื่อเป็นคนอื่นที่เซลล์ A10 และกด Enter จะเห็นว่าผลในเซลล์ C12 จะเปลี่ยนไป

ฟังก์ชั่น DEVSQ ส่งกลับค่าผลรวมของส่วนเบี่ยงเบนของจุดข้อมูลจากค่าเฉลี่ยตัวอย่างยกกำลังสอง

ฟังก์ชั่น DEVSQ เป็นฟังก์ชั่น ประเภท สถิติ รูปแบบสูตรของฟังก์ชั่น DEVSQ คือ DEVSQ(number1,numbe2,…) Number1, number2, … คืออาร์กิวเมนต์... thumbnail 1 summary
ฟังก์ชั่น DEVSQ เป็นฟังก์ชั่น ประเภท สถิติ

รูปแบบสูตรของฟังก์ชั่น DEVSQ คือ DEVSQ(number1,numbe2,…)

Number1, number2, … คืออาร์กิวเมนต์ 1 ถึง 30 อาร์กิวเมนต์ที่ต้องการคำนวณหาผลบวกของส่วนเบี่ยงเบนยกกำลังสอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้อาร์เรย์เดียวหรือการอ้างอิงไปยังอาร์เรย์แทนการใช้อาร์กิวเมนต์ที่แยกด้วยเครื่องหมายจุลภาคได้เช่นกัน

ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องคือ AVEDEV, STDEV, STDEVP, VAR, VARP

ให้ทดลองพิมพ์สูตรในโปรแกรม Microsoft Excel ดังนี้

• ระบายเซลล์ B1:B7 แล้วพิมพ์ตัวเลขเข้าไปดังนี้

• พิมพ์ 4 และกด Enter พิมพ์ 5 แล้วกด Enter พิมพ์ 8 แล้วกด Enter พิมพ์ 7 แล้วกด Enter

• พิมพ์ 11 และกด Enter พิมพ์ 4 และกด Enter พิมพ์ 3 แล้วกด Enter

• คลิกเซลล์ B9 แล้วพิมพ์=average(B1:B7) และกด Enter จะได้ผลออกมาเป็น 6

• คลิกเซลล์ C1 แล้วพิมพ์สูตร =(B1=$B$9)^2 และกด Enter จากนั้น Auto Fill สูตรลงมาจนถึง C7

• คลิกที่เซลล์ C8 แล้วคลิกปุ่ม Auto Sum จะได้ผลเท่ากับ 48

• คลิกเซลล์ B11 แล้วพิมพ์ =devsq(B1:B7) และกด enter จะได้ผลเท่ากับ 48

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Transpose Function กับ วิธีการใช้งาน ที่มือใหม่ควรเรียนรู้

Microsoft Excel : การใช้งานฟังก์ชั่น Transpose (ในตัวอย่างนี้ใช้ Microsoft Excel 2010) วันนี้ vba ms excel จะขอนำเสนอ การใช้ สูตรทางคณิต... thumbnail 1 summary
Microsoft Excel : การใช้งานฟังก์ชั่น Transpose (ในตัวอย่างนี้ใช้ Microsoft Excel 2010)

วันนี้ vba ms excel จะขอนำเสนอ การใช้ สูตรทางคณิตศาสตร์ตัวหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจ และคิดว่า ถ้าใครได้ลองใช้แล้ว ก็จะร้อง อ๋อ กันเลยว่า มันใช้งานอย่างนี้นี่เอง สูตรทางคณิตศาสตร์บน ms excel นั้นมีมากมายเหลือเกินบางสูตรใช้งานยากสักหน่อย บางสูตรก็ใช้ง่ายๆไม่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนอะไรดังเช่น ฟังก์ชั่น max min average ซึ่งวิธีการใช้งานนั้นไม่ได้ยากเลย


แต่วันนี้จะมาสอนใช้ ฟังก์ชั่นเกี่ยวกับ matrix ซึ่ง เราคงจะคุ้นเคยกันดี ว่า matrix เป็นไง เอาเป็นว่า ฟังก์ชั่นตัวนี้ใช้หา transpose ของ matrix ก็แล้วกัน หากยังไม่เข้าใจว่า transpose matrix คืออะไร ก็จะขอยกตัวอย่างให้ดูกันดังตัวอย่างด้านล่างนี้ก็แล้วกันค๊าบ


ก่อนจะอธิบายว่า transpose matrix คืออะไร เรามาทบทวนกันก่อนว่า อะไรที่เรียกว่า matrix กันดีกว่า ส่วนใครที่ทราบแล้วก็เลื่อนไปอ่านท้ายๆของบทความได้เลยจ๊ะ


Matrix ก็อย่างเช่น ตัวเลข หรือ ข้อความ คำ หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ถูกเขียนให้อยู่ในรูปของ แถว คอลัมน์ ดังตัวอย่างด้านล่าง เช่น


1 2 3


4 5 6


โดยเราจะครอบตัวเลขทั้งหมดนี้ด้วยเครื่องหมาย [ ] ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าจะประกอบด้วยแถว และ คอลัมน์ นั่นคือ แถวแรกประกอบไปด้วย เลข 1 2 3 แถวที่สอง คือ 4 5 6 และคอลัมน์ที่ 1 คือ 1 4 ส่วนคอลัมน์ที่ 2 คือ 2 5 และสุดท้าย คอลัมน์ที่ 3 คือ 3 6 เป็นต้น


หรือ เช่น อาจอยู่ในรูปแบบของ อักษร หรือ คำ ก็ได้ เช่น
Cancer                    Diabetes  
Gastritis                  Fracture 
Cardiovascular      Stoke
              

เอาละ Matrix ก็เป็นเช่นนี้แล หวังว่าคงพอจะเข้าใจ


ทีนี้มาว่าถึงเรื่องของ Transpose matrix กันว่ามันคือ อะไร
Transpose matrix คือ การทำ matrix ให้อยู่ในรูปแบบ กลับแถว กลับคอลัมน์กัน ยกตัวอย่าง เช่น
Matrix ตัวอย่างที่เรากล่าวมานั่นคือ matrix

1 2 3

4 5 6

ถ้าเราต้องการจะทำ Transpose matrix ตัวนี้ เราก็แค่เอามันมาเขียนใหม่เป็น

1 4

2 5

3 6


มันก็จะกลายเป็น transpose matrix แล้ว โดยจะเห็นว่า แถวในแนวนอน ของ matrix ต้นฉบับคือ 1 2 3(แถวแรก)
456(แถวที่สอง) ถูกนำมาเขียนให้อยู่ในรูปของ คอลัมน์ นั่นคือ

1 4

2 5

3 6

ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นว่า การทำ transpose matrix ก็คือ การนำ
ข้อมูลแนวนอนมาเขียนในแนวตั้งแค่นั้นเอง

ถ้าเราทำเองด้วยมือ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราจะให้ ms excel ทำให้มันก็ต้องมีเทคนิคการใช้นิดหนึ่ง ซึ่งไม่ยากเลย

ในตัวอย่างนี้จะใช้ ms excel 2010 มาทำ transpose matrix ให้ ส่วนใครที่ มี ms excel 2007 ก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งวิธีการก็เหมือนกัน นั่นคือ ใช้ สูตร หรือ ฟังก์ชั่นของ excel ที่ชื่อว่า Transpose ในการทำงานนี้ให้ลุล่วง

เอาละเริ่มกันเลยแล้วกัน แบบเป็นขั้นเป็นตอน

1. เปิด ms excel ขึ้นมา

พิมพ์ matrix ต่อไปนี้ลงไป โดย เริ่มพิมพ์จากเซลล์ a2 จนถึง c6 

เซลล์ a1 b1 c1 ปล่อยไว้ว่างๆน่ะไม่ต้องพิมพ์อะไร (ไม่มีอะไร พอดีว่า อยากเริ่มที่เซลล์ a2 เฉยๆ อิๆ)


1. ใช้ Mouse เลือกตั้งแต่ เซลล์ a8 จนถึง เซลล์ e10 ดังภาพด้านล่างนี้
 
เหตุผลที่เลือกตั้งแต่เซลล์ a8 จนถึง e10 เพราะว่าส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ใช้แสดงผลลัพธ์ นั่นเอง เราต้องเลือกให้พอดี เอาเป็นว่าตอนนี้เลือกไปก่อน เดี่ยวพอได้ผลลัพธ์แล้วจะเข้าใจเอง


1. พิมพ์สูตรที่ช่อง a8 โดยไม่ต้องไปคลิ้กที่ช่อง a8 น่ะเพราะมันจะทำให้ไอ้ที่เราเลือกไว้มันหายไป เราจะสังเกตว่า ที่เราเลือกไว้นั่นคือ a8 ถึง e10 เป็นช่องสีฟ้าๆ ส่วนช่อง e8 เป็นสีขาวๆ นั่นแสดงว่าเราสามารถพิมพ์ที่คีย์บอร์ดได้เลย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเห็น Cursor ที่ช่อง a8
เอาละ พิมพ์ ที่ช่อง a8 ว่า =transpose( พิมพ์แค่นี้ก่อน ดูภาพด้านล่างประกอบ




1. จากนั้น คลิ้กที่ เซลล์ a2 แล้วลากเมาส์เลือกจนเส้นประสี่เหลี่ยมครอบถึงเซลล์ c6 ดูภาพด้านล่างประกอบด้วยน่ะ


จจากภาพเราจะเห็นว่า เซลล์ a2 ถึง เซลล์ c6 เข้ามาอยู่ในคำสั่งที่เราพิมพ์เว้นไว้ ตอนนี้ คำสั่ง transpose กลายเป็นแบบนี้ =transpose(A2:C6
1. ขั้นตอนต่อไปเราก็ใส่ ) ให้กับคำสั่ง transpose และ คำสั่ง transpose ก็จะกลายเป็น

=transpose(A2:C6) ดูภาพด้านล่างประกอบ



และเส้นประที่ล้อมรอบ a2 ถึง c6 ก็จะกลายเป็น เส้นสีน้ำเงินมีวงกลมที่มุมทั้งสี่ล้อมรอบดังภาพ

1. ขั้นตอนต่อไปให้เรากด ctrl กับกด shift ค้างไว้ แล้วกด Enter เพื่อ ให้ Microsoft Excel ทำการคำนวณสูตรแบบ array ให้เรา (matrix กับ array คือ สิ่งเดียวกัน)

เราก็จะได้ผลลัพธ์ดังภาพด้านล่างนี้

 

มื่อเห็นผลลัพธ์แล้วหวังว่าทุกคนคงจะเข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้เราจึงต้องมีการเลือกเซลล์ไว้ในลักษณะแบบนี้ไว้ก่อน...นั้นเพราะว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจะเป็นแบบนี้นั่นเอง ลองพิจารณาดูช้าๆ ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากจ๊ะ


ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาในเซลล์ที่เราเลือก ข้อมูลจะไม่เป็นระเบียบ กล่าวคือ มันกระจัดกระจาย ตัวเลขไม่ตรงกัน ให้เราคลิ๊กขวาเลือกคำสั่ง จัดรูปแบบเซลล์ เพื่อจัดระเบียบให้ข้อมูลสวยงามดังภาพ ในภาพเป็นการจัดข้อมูลให้อยู่ตรงกลาง ลองทำดูน่ะ


เราสามารถนำ Function Transpose ไปประยุกต์แบบง่ายๆ เช่น ถ้าเราต้องการที่จะแสดงข้อมูลที่เราเขียนไว้ ในแนวนอน ให้แสดงผลแบบแนวตั้งเราก็ใช้สูตรนี้ช่วยได้จ๊ะ


ขอพูดถึงเรื่องของการกด Ctrl+shift+Enter นิดหนึ่ง น่ะ


ปกติ ถ้าเป็นการสั่งให้ microsof excel คำนวณสูตรธรรมดาทั่วไป เราก็แค่กด enter มันก็จะแสดงผลลัพธ์ออกมาแล้ว


แต่ในตัวอย่างนี้ เรากด Enter เฉยๆไม่ได้ เพราะ Microsoft Excel มันกำหนดไว้แล้วว่า ถ้ามีการคำนวณสูตรที่เป็นลักษณะอาร์เรย์ หรือ matrix มันจะต้องกดสั่งงานอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ ctrl+shift+Enter (คือ การกด ctrl แล้วกด shift ค้างไว้ พอกดค้างสองปุ่ม(Ctrl+shift) จากนั้นกด ปุ่ม Enter(กด Enter ในขณะที่ปุ่ม Ctrl กับปุ่ม Shift ถูกกดอยู่) นั่นเอง


*** สิ่งที่เราควรจะทราบก่อนการใช้ฟังก์ชั่นทางการคำนวณนั้นๆคือ การที่เราเข้าใจว่าฟังก์ชั่นนั้นมีวิธีการทำงานอย่างไรในทางคณิตศาสตร์ มันจะทำให้การเรียนรู้การใช้ฟังก์ชั่นเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเราไม่ต้องเปลืองสมองในการไปจดจำวิธีการใช้งานมากนัก เนื่องจากเราทราบว่าฟังก์ชั่นคณิตศาสตร์ตัวนี้มีไว้ทำอะไรนั่นเองจ๊ะ

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Microsoft Excel Ebook Free

Microsoft Excel เป็นโปรแกรมตารางคำนวณ ยอดฮิต ที่ถูกนำไปใช้ตามบ้านเรือนต่างๆ ตามสำนักงานต่างๆมากมาย Microsoft Excel ถูกนำไปใช้ในสาขาอาชีพต่า... thumbnail 1 summary
Microsoft Excel เป็นโปรแกรมตารางคำนวณ ยอดฮิต ที่ถูกนำไปใช้ตามบ้านเรือนต่างๆ ตามสำนักงานต่างๆมากมาย Microsoft Excel ถูกนำไปใช้ในสาขาอาชีพต่างๆ มากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านบัญชี วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ดังจะเห็นได้จาก Function ซึ่งมีอยู่มากมายใน Microsoft Excel
การจะใช้ Microsoft Excel ให้เก่งนั้น จำเป็นต้องได้รบการฝึกฝนฝีมือตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะใช้ Excel ได้ ไม่เต็มประสิทธิภาพของมันมากมนัก
   จะทำอย่างไรหากเราต้องการจะเก่ง Microsoft Excel ให้รอบด้านให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อันนี้ก็คงต้องลงคอร์สเรียนกับผู้เชี่ยวชาญแล้วละ และก็ความขยันส่วนตัวของเราด้วย เช่น การหาข้อมูลจาก หลายๆที่ประกอบกัน เช่น จากเว็บ blog แห่งนี้ หรือ หา Download Microsoft Excel Ebook Free ซึ่งน่าจะมีอยู่มากมายเช่นกัน บนโลกของ อินเทอร์เน็ต
เมื่อ คุณโหลด Microsoft Excel Ebook ฟรี จากโลกออนไลน์มากแล้วก็ ลงมือเปิดอ่านจากโปรแกรม ที่เอาไว้ อ่าน Ebook ต่างๆที่มีอยู่มากมาย เช่น Acrobat,foxit อะไรพวกนี้
การค้นหา Ebook Excel ผ่าน Google คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คิดว่าทุกคนคงเคยค้นหากันอยู่แล้ว
สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้นิดหนึ่งว่า คนที่ขยันหาความรู้ในเรื่องที่ตนสนใจ อยู่บ่อยๆ ย่อมจะเก่งขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน ไม่เชื่อลองดู

Excel Formulas : ฟังก์ชัน DELTA ประเภท วิศวกรรม

ความหมายของฟังก์ชั่น คือ ทดสอบว่าค่าสองค่าเท่ากันหรือไม่ DELTA จะคืน 1 ถ้า number1=number2 และจะคืน 0 ถ้าไม่เท่ากัน ให้ใช้ฟังก์ชันนี้เ... thumbnail 1 summary


ความหมายของฟังก์ชั่น คือ ทดสอบว่าค่าสองค่าเท่ากันหรือไม่ DELTA จะคืน 1 ถ้า number1=number2 และจะคืน 0 ถ้าไม่เท่ากัน ให้ใช้ฟังก์ชันนี้เพื่อกรองชุดของค่า ตัวอย่างเช่น การรวมผลของฟังก์ชั่น DELTA หลายๆฟังก์ชั่นก็คือการนับจำนวนคู่ที่เท่ากัน ฟังก์ชันนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในนามของฟังก์ชั่น Kronecker Delta
รูปแบบสูตร คือ DELTA(number1,number2)
Number1 คือ ตัวเลขแรก
Number2 คือ ตัวเลขที่สอง ถ้าถูกละไว้จะถือว่า number2 เป็นศูนย์
ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้อง คือ ฟังก์ชั่น EXACT, GESTEP
ให้ทดลองพิมพ์สูตรในโปรแกรม Microsoft Excel ดังนี้
·     คลิกที่เซลล์ B2 แล้วพิมพ์ =delta(4,5) และกด Enter จะได้ผลเป็น 0
·     คลิกที่เซลล์ B3 แล้วพิมพ์ =delta(5,5) และกด Enter จะได้ผลเป็น 1
·     คลิกที่เซลล์ B4 แล้วพิมพ์ =delta(4) และกด Enter จะได้ผลเป็น 0
·     คลิกที่เซลล์ B5 แล้วพิมพ์ =delta(0) และกด Enter จะได้ผลเป็น 1

ฟังก์ชัน DEGREES ประเภท คณิตศาสตร์และตรีโกณมิติ

ความหมายของฟังก์ชั่น แปลงมุมเรเดียนเป็นมุมองศา สูตร DEGREE(angle) Angle คือ มุมในรูปเรเดียนที่คุณต้องการแปลงไปเป็นมุมองศา ฟังก์ช... thumbnail 1 summary


ความหมายของฟังก์ชั่น แปลงมุมเรเดียนเป็นมุมองศา
สูตร DEGREE(angle)
Angle คือ มุมในรูปเรเดียนที่คุณต้องการแปลงไปเป็นมุมองศา
ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้อง คือ RADIANS
ให้ทดลองพิมพ์สูตรในโปรแกรม Microsoft Excel ดังนี้
·     คลิกที่เซลล์ A2 แล้วพิมพ์=pi() และกด Enter จะได้ผลเป็น 3.141593
·     คลิกที่เซลล์ B2 แล้วพิมพ์ =degrees(A2) และกด Enter จะได้ผลลัพธ์เป็น 180
·     คลิกที่เซลล์ A3 แล้วพิมพ์ .785398163 แล้วกด Enter
·     คลิกที่เซลล์ B3 แล้วพิมพ์ =degrees(A3) และกด Enter จะได้ผลเป็น 45
·     คลิกที่เซลล์ B4 แล้วพิมพ์ =A3*180/pi() และกด Enter จะได้ผลเป็น 45
·     คลิกที่เซลล์ A5 แล้วพิมพ์ =pi()/4 แล้วกด Enter จะได้ผลลัพธ์เป็น 0.785398163

ฟังก์ชั่น DEC2OCT ประเภท วิศวกรรม

ความหมายของฟังก์ชั่น แปลงตัวเลขฐานสิบให้เป็นฐานแปด สูตรมีรูปแบบคือ DEC2OCT(number,places) Number คือจำนวนเต็มฐานสิบที่คุณต้องการจะ... thumbnail 1 summary


ความหมายของฟังก์ชั่น แปลงตัวเลขฐานสิบให้เป็นฐานแปด
สูตรมีรูปแบบคือ DEC2OCT(number,places)
Number คือจำนวนเต็มฐานสิบที่คุณต้องการจะแปลง ถ้า number คือค่าลบ places จะถูกละเว้นไป และฟังก์ชั่น DEC2OCT จะส่งกลับค่าตัวเลขฐานแปดเป็นอักขระ 10 ตัว (30 บิต) ซึ่งบิตที่มีนัยสำคัญที่สุด คือ บิตเครื่องหมาย ส่วนอีก 29 บิตที่เหลือคือบิตขนาด โดยจะแสดงตวเลขติดลบด้วยสัญกรณ์เติมเต็มฐานสอง
Places คือ จำนวนของอักขระที่ใช้ ถ้า places ถูกละไว้ ฟังก์ชั่น DECT2OCT จะใช้จำนวนที่น้อยสุดของอักขระที่จำเป็น places มีประโยชน์สำหรับการรองรับค่าผลลัพธ์ที่มี 0(ศูนย์) นำหน้า
ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้อง BIN2DEC, HEC2DEC, OCT2DEC
ให้ทอดลองพิมพ์สูตรในโปรแกรม Microsoft Excel ดังต่อไปนี้
·     คลิกเซลล์ A2 แล้วพิมพ์ 102 และกด Enter
·     คลิกที่เซลล์ B2 แล้วพิมพ์ =dec2oct(A2) และกด Enter จะได้ผลลัพธ์คือ 146
·     คลิกเซลล์ A3 แล้วพิมพ์ 102 และกด Enter
·     คลิกเซลล์ B3 แล้วพิมพ์ =Dec2Oct(A3,4) และกด Enter จะปรากฏผลออกมาเป็น 0146